ก้อ ณฐพล ศรีจอมขวัญ

  จากจุดเริ่มต้นด้วยการเป็นมือเบสให้กับวงโมเดิร์นด๊อกพร้อม ๆ กับการทำงานเพลงร่วมกับค่ายเบเกอรี่เรื่อยมา จนวันนึงมีวงดนตรี P.O.P ที่โด่งดังครองใจวัยรุ่นไทย ต่อมาสร้างวง Groove Riders ขึ้นใหม่ โดยรับหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้าวง มือเบส และโปรดิวเซอร์ ทั้งหมดนี้แม้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในผลงานคุณภาพของ ก้อ ณฐพล ศรีจอมขวัญ แต่ก็พอจะการันตีฝีมือที่จัดว่าอยู่ในแนวหน้าของเมืองไทยได้

         หลายคนอาจจะรู้จักก้อในฐานะคนดนตรีมือฉมัง แต่ในครั้งนี้ ก้อขอสลัดคราบนักดนตรี ทิ้งเบสและงานโปรดิวซ์ชั่วคราว มาอุ้มลูกชายในวัยเพียง 3 เดือนโพสท่าเก๋ ๆ ในบทบาทคุณพ่อมือใหม่ที่เขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เราลองมาทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ในมุมที่แตกต่างจากบนเวทีของเขากันค่ะ

         ก้อเป็นคนกรุงเทพฯ มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน มีพี่ชายคนโต ก้อเป็นฝาแฝดกับน้องสาว และมีน้องชายอีกคนหนึ่งเริ่มต้นเรียนอนุบาลที่เธียรประสิทธิ์แถวสาทร จากนั้นก็ต่อชั้นประถมที่อัสสัมชัญ และมัธยมที่อัสสัมชัญ บางรัก พอจบชั้น ม.3 คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจส่งก้อไปเรียนที่ต่างประเทศ

 เด็กชายก้อ...ในวันที่เปลี่ยนไป

         คือช่วงวัยรุ่นด้วย แล้วเพื่อนเยอะ เป็นช่วงกำลังติดเพื่อน สนุกมาก เที่ยวด้วยกันทั้งวันทั้งคืน พอรู้ว่าต้องไปอเมริกาคนเดียว ก็พยายามคุยกับพ่อแม่ว่าไม่อยากไป แต่ท่านก็ไม่ยอม พอไปอยู่อเมริกาก็ต้องไปอยู่หอคนเดียว ตอนนั้นรู้สึกเหงามาก เราก็เปลี่ยนบุคลิกตัวเอง จากเดิมเป็นคนที่ร่างเริง ตลก ๆ เพื่อนฝูงมีตลอดเวลา กลายเป็นคนคิดมากขึ้น เป็นคนซีเรียส เงียบ คือด้วยความที่คนละวัฒนธรรม คือเราไปเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน คือเราอยู่เมืองไทย เราเป็นคนไทย พอไปที่โน่นเรากลายเป็นคนชั้นสอง แล้วฝรั่งก็ไม่ได้มองเราเหมือนเขา กลายเป็นเราแตกต่าง แล้วมีเรื่องของการเหยียดสีผิว ซึ่งเราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ก็ช็อกว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วคนที่นั่นเขาพูดภาษาอังกฤษ เราก็สื่อสารได้ไม่ดี รวมทั้งนิสัยใจคอของฝรั่งกับคนไทยก็แตกต่างกันมาก กว่าเราจะเข้าใจก็ใช้เวลานานมาก ก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ในช่วงแรก ๆ

         การเรียนก็สลับกันไปเลย จากที่เรียนห่วยมากที่เมืองไทย กลายเป็นเรียนดี ก็มีส่วนหลาย ๆ อย่างนะ ผมว่าวิธีการสอนที่นี่กับที่โน่นไม่เหมือนกัน แล้วพอเราไม่ค่อยมีเพื่อน เราก็เลยตั้งใจเรียนมากขึ้น จากคนที่ได้เกรด 1 กลายเป็นบางวิชาได้ท็อปของโรงเรียนเลย เราก็งงเหมือนกัน ทั้งที่ตัวเราเองไม่เคยคิดที่จะเรียนเก่งเลยนะ ได้วิชาเลขคะแนนสูงสุดของโรงเรียนเคยได้ถึง 2 ครั้งด้วยนะครับ กลายเป็นเด็กเรียนไปเลย ฝรั่งยังต้องมาขอเราให้สอนให้

 ช่วงตกต่ำทางจิตใจ

         อยู่ที่โน่นก็สุขทุกข์ผสมกันครับ พอจบ ม.6 ต้องเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ที่จริงผมรู้ตัวตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากทำงานในสายดนตรี คือเป็นคนชอบฟังเพลง ไม่ได้ฟังอย่างเดียวนะ แต่ชอบศึกษาเบื้องลึกด้วย อยากรู้ว่าวงนี้ประกอบด้วยใคร ชื่ออะไร ใครเป็นคนแต่งเพลงโปรดิวเซอร์ชื่ออะไร คุณพ่อคุณแม่ก็รู้ว่าผมสนใจเรื่องดนตรี ก็อยากให้ทำเป็นงานอดิเรกแต่ไม่สนับสนุนให้ทำเป็นอาชีพ ญาติพี่น้องก็โน้มน้าวว่าสายดนตรีทำเป็นอาชีพไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำได้ เต้นกินรำกิน ก็เลยตัดสินใจไปเรียนบริหารธุรกิจอยู่ปีครึ่ง ผมไม่ชอบเลย ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดก็ว่าได้ ตกต่ำทางจิตใจครับ เพราะว่าเรามีความทุกข์มาก คือเรียนไปมีความทุกข์ไป ก็เลยไปปรึกษาครูแนะแนวที่เป็นครูฝรั่ง เขาก็บอกผมว่าเราเกิดมามีชีวิตเดียว ทำไมไม่ทำอะไรที่เราชอบ ก็เหมือนกับเขาจุดไฟให้เราว่า ควรจะกลับไปเรียนดนตรี ผมก็ไปบอกพ่อแม่เลยว่าไม่เอาแล้ว ก็ไปสมัครเรียนดนตรีที่บอสตัน ท่านก็คงคิดว่าเราหลงทางคงไม่เอาจริงเอาจัง เรียนสักพักนึงก็คงกลับมา แต่ปรากฏว่าผมจบปริญญาตรีด้านดนตรีมาครับ ได้เกียรตินิยมด้วย คือวิชาดนตรีเนี่ย ผมได้เกรด A มาตลอด ไม่เคยได้ B เลยนะ คือไม่ได้เก่ง แต่พอเราได้เรียนสิ่งที่เราชอบ ก็มีความสุขกับมัน เราก็จะทำมันได้ดีเท่านั้นเอง

         พอจนปริญญาตรีปุ๊บ เผอิญผมได้รางวัลทุนการศึกษา คือจริง ๆ ปริญญาตรีเค้าเรียน 4 ปี แต่ผมเรียนจนภายใน 3 ปี ก็เลยตัดสินใจเรียนต่ออีกครึ่งปี ใช้ทุนให้หมด แล้วค่อยกลับมาเมืองไทยครับ

 เข้าค่ายขนมปังดนตรี...เบเกอรี่มิวสิค

         ก่อนกลับมาเมืองไทยผมเคยเข้าไปที่ค่ายเบเกอรี่ คือผมรู้จักกับพี่โค้ง-มณเฑียร แก้วกำเนิด เป็นรุ่นพี่ของผม ซึ่งค่ายเพลงเบเกอรี่เป็นค่ายเพลงในฝันของผมและหลาย ๆ คน เราก็อยากมีโอกาสเข้าไปทำงานที่นั่น พอกลับมาเมืองไทยก็โชคดีมาก คือตอนนั้นโมเดิร์นด๊อก ซึ่งเป็นวงที่ดังที่สุดของประเทศไทยออกอัลบั้มชุด 2 ปรากฏว่ามือเบสคือพี่บ๊อบเขายังเรียนไม่จบก็เลยต้องหามือเบสขึ้นไปเล่นแทน ผมก็เลยโทรไปบอกพี่โต้งว่าผมอยากเข้าไปลองดู ก็เลยได้เล่น ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับโมเดิร์ด๊อก ตรงนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผมกับค่ายเบเกอรี่ แล้วก็เริ่มทำวง P.O.P ขึ้นมากับพี่นภกับพี่โต้ง ทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่เบเกอรี่มาตลอด 8 ปี จนค่ายปิดตัวลงครับ

         คือเราทำงานของเราให้ดีที่สุดครับ ทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนั้น ก็ถือว่าโชคดีนะที่ไปถึงตรงนั้น เราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่วงก็ไม่ได้ไปไกลมาก ถึงจุดสูงสุดที่เรามีคอนเสิร์ตของวงเราเองที่อิมแพคเมืองทองธานี ก็ถือว่าไกลที่สุดแล้วล่ะ เพราะว่ามันก็ไม่มีคอนเสิร์ตไหนที่ใหญ่กว่านั้นแล้วครับ

         Groove Riders เป็นโปรเจคต์ที่ผมฝันอยากจะทำตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนดนตรีแล้วครับ คือ P.O.P เป็นแนวป็อปผสมร็อคนิด ๆ แต่ว่าแนวเพลงที่ผมชอบคือแนวโซล พั้งค์ มีกลิ่นอายของดนตรีคนดำอยู่ ก็เลยคิดว่าน่าจะทำโปรเจ็คต์นี้ ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ก็เลยเริ่มแต่งเพลง เริ่มหาสมาชิกซึ่งผมก็พอใจมากกับ Groove Riders เพราะรู้สึกว่าได้ทำฝันตัวเองให้เป็นจริงครับ

ก้อ P.O.P 

 กับผลงานอัลบั้มเดี่ยว

         ผมชอบทำหลายบทบาทในงานเพลง คืออยากเป็นโปรดิวเซอร์ อยากทำงานของตัวเอง อยากแต่งเพลง แต่ว่าไม่ได้อยากออกมาเป็นนักร้องนำ คืออยากมีวงเป็นของตัวเองครับ แต่ไม่ได้เป็นความฝันว่าจะต้องมีอัลบั้มออกมาแล้วเราเป็นนักร้อง แต่ว่าพอเราทำงานเพลงออกมาได้สักระยะนึง ในฐานะที่เราเป็นศิลปิน เราก็ต้องทำงานที่มันยากขึ้นเรื่อย ๆ ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เลยคิดว่ามีอะไรอีกในวงการเพลงที่ยังไม่ได้ทำ ก็คือการทำอัลบั้มเดี่ยว เพราะที่ผ่านมาผมก็ทำ ทั้ง P.O.P ก็สำเร็จไปแล้ว พอทำ Groove Riders ก็สำเร็จอีก ก็เลยคิดว่าลองทำอัลบั้มเดี่ยวที่เราร้องเพลงดูบ้าง เลยมีอัลบั้มเดี่ยวออกมา 2 อัลบั้มครับ

         ชีวิตผมไม่เปลี่ยนนะครับ คือด้วยความที่ผมเป็นนักร้องที่ไม่ได้ดังมาก คนที่ไม่ได้เป็นแฟนเพลงเรา เขาก็ไม่ได้รู้จักเรา ผมไปเดินที่ไหนอาจจะมีคนมาขอถ่ายรูปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เอิกเกริก ไม่เหมือนพี่นภ พรชำนิ ที่น่าสงสารมาก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง แต่เราเนี่ยใช้ชีวิตส่วนตัวได้ตามปกติครับ

         หลังจากได้รู้กันแล้วว่าเส้นทางของหนุ่มก้อก่อนจะมาเป็น P.O.P และ Groove Riders นั้น เป็นอย่างไร ทีนี้ก็มาถึงเรื่องหัวใจที่ใคร ๆ ก็ถามไถ่ว่าสาวด้า-อลิดา หวานใจของนายก้อ เป็นใคร ได้ข่าวมาว่าสองคนนี้เจอกันครั้งแรกก็ปิ๊งกันในทันที เอ...หรือจะเป็นรักแรกพบ อย่างนี้เห็นทีต้องฟังจากปากของหนุ่มก้อกันต่อเลยค่ะ

 Love at first sight

         ผมกับด้าเราเจอกันเมื่อ 6 ปีที่แล้วโดยประมาณครับ ด้าเขาเป็นเพื่อนกับโหน่ง-พิมพ์ลักษณ์ ซึ่งเป็นศิลปินที่ผมทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้อยู่ ก็เลยมีการแนะนำกันไป ตอนนั้นด้าเป็นผู้ประกาศข่าวภาคภาษาอังกฤษทางวิทยุอยู่ เจอกันครั้งแรกก็ปิ๊งเลย (หันไปถามด้า เธอก็บอกว่าปิ๊งหนุ่มก้อทันทีที่เห็นเหมือนกัน) ผมก็ขอเบอร์จากโหน่งแล้วก็โทรไปหาด้า ทีแรกก็นัดกันไปเที่ยวก่อนไปเป็นกลุ่มไปดรีมเวิล์ดกัน คือผมพาน้องชายไปเที่ยว โหน่งกับด้าก็ไปด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มโทรคุยกันนัดกินข้าวกัน

         จริง ๆ แล้วผมจีบผู้หญิงไม่เป็นหรอกครับ แต่เราคลิกกันเร็วมาก คือด้าเข้ากับคนง่ายมาก ทุกคนที่เจอด้า ก็จะชอบด้า พอเจอปุ๊บก็รักด้าหมดทุกคนเลยนะ ไม่มีใครไม่ชอบซักคน มันก็เลยง่ายครับ เราก็คุย ๆ กันนะว่า ถ้าเราเจอกันก่อนหน้านี้ ช่วงที่เราเป็นวัยรุ่น เราก็คงเลิกกันไปแล้วล่ะ แต่ว่าเรามาเจอกันตอนอายุ 30 ในวันที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ละคนก็ผ่านประสบการณ์เรื่องความรักมาพอสมควร เราก็รู้และเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง มันก็เลยเป็นความรักแบบผู้ใหญ่ไม่ได้เป็นความรักแบบวัยรุ่น

         ผมเองก็ไม่ได้มีสเปคสาวนะ แต่ชอบคนนิสัยดี ใช่ก็ใช่ ที่สำคัญคือถ้าเราเห็นความดีของเขามันก็จะรู้สึกใช่เลย แล้วด้าเขาเป็นคนนิสัยดี แล้วก็ดีกับทุกคนด้วยครับ

 แพ้ใจผู้หญิงคนนี้...อลิดา

         เราก็คุยกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เรายังไม่โอเค. ก็มีแค่เรื่องความเชื่อที่อาจจะต่างกันบ้าง ตรงที่ผมนับถือศาสนาพุทธ ด้านับถือศาสนาคริสต์ ก็คุยกันว่าเราจะไม่เปลี่ยนศาสนาของกันและกันนะ แต่เราจะใช้วิธีเพิ่ม เราเชื่อมั่นในคำสอน ในสิ่งที่ดี เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยู่ในพื้นฐานที่ดีด้วยกัน ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ผมก็ไปโบสถ์กับด้า ด้าก็ไปวัดกับผม ก็ไม่มีปัญหาครับ

         วันนึงผมตัดสินใจคุกเข่าขอด้าแต่งงานที่คอนโดแถวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็บอกว่าผมจะทำอย่างนี้ครั้งเดียวในชีวิตนะ ก็ขอให้เราเป็นคู่กันนะ ด้าก็ตอบตกลง แล้วเราก็แต่งงานกันที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2006 แล้วไปฮันนีมูนที่กระบี่ครับ อยู่กันประมาณ 5 วัน คือเราทั้งคู่ไม่เคยไปกระบี่เลย รู้สึกว่ามันสวย แล้วก็โรแมนติกมากครับ

         ทีแรกเราก็ไม่รู้นะว่าด้ามีคนจีบอยู่เยอะ คือผมคิดว่าคงไม่ค่อยมีหรอก แต่หลังจากที่แต่งานกันแล้ว ด้าก็ค่อย ๆ เผยออกมาว่ามีใครมาจีบเค้าบ้าง ทีละคนเลยนะ อ๋อ! คนนี้เคยมาจีบ อ๋อ! คนนั้น ก็เคยมาจีบ เราก็เฮ้ย! ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ

ก้อ P.O.P น้องแอล อริยะ ศรีจอมขวัญ

 แปลกใจ...ทำไมไม่ท้อง

         เราแพลนไว้ว่าแต่งงานกันซัก 3 ปีก็อยากจะมีลูก แต่ผมมีลูกยากครับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะอายุด้วย ปีนี้ก็อายุ 38 ทั้งคู่แล้ว ที่แปลกคือว่าเราไปตรวจร่างกาย ตรวจก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คือสมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่าง แต่ว่าลูกก็ไม่มาซักที เป็นเรื่องที่แปลกผมคิดว่าเป็นเรื่องของเบื้องบน มันหาสาเหตุไม่ได้ หมอก็บอกว่าประมาณ 30% ที่จะเกิดขึ้นแบบนี้ เราก็ไปทำมาหลายวิธี IVF ครั้งแรกก็ไม่ติด เราก็งง ๆ ว่าเป็นเพราะอะไร สุดท้ายก็ไปทำ IVF อีกรอบ สุดท้ายก็ได้มาครับ

         พอรู้ว่าท้องก็ค่อนข้างที่จะระวังพอสมควร แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่น้ำท่วม ด้าก็เลยไม่ต้องทำอะไรเลยวัน ๆ เดินลงบันไดผมยังไม่ให้ลงมาเลยครับ ด้าไม่มีอาการคลื่นไส้นะ แต่กินข้าวไม่ลง กินได้สองคำก็อิ่มแล้ว ผมเองกลับกินเก่งขึ้น กินอร่อย เค้าไม่กินผมก็กินแทน ช่วงท้องด้าน้ำหนักขึ้น 12 กก. อารมณ์ดี ไม่มีหงุดหงิดครับ

 ด.ช.อริยะ...ผู้ประเสริฐของพ่อ

         จริง ๆ แล้วอยากให้คลอดธรรมชาติครับ ทีแรกจะขอคลอดเอง ปรากฏว่าจะครบกำหนดคลอดแล้วปากมดลูกก็ไม่เปิดซักที คุณหมอก็บอกว่าอายุขนาดนี้แล้วผ่าดีกว่า เพื่อความปลอดภัย พอผ่าออกมาปุ๊บ หมอบอกว่ายังไงก็ต้องผ่าอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าลูกตัวใหญ่ ยังไงก็คงออกมาเองไม่ได้ เพราะน้องออกมาหนัก 3.8 ก.ก.ครับ

         ตอนแรกยอมรับว่าอยากได้ลูกผู้หญิง เพราะเห็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ขี้ประจบประแจง แล้วอีกอย่างเรามีหลานเป็นเด็กผู้หญิง แล้วเค้ามีสมบัติเต็มไปหมดเลย คือเราไม่ต้องซื้ออะไรเลยแน่ ๆ คือแค่เอามาก็จบ แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงผู้ชายก็ได้ทั้งนั้นครับ

         ชื่อน้องก็ตั้งกันเองครับ ทีแรกก็เปิดตำราพอสมควรนะ แต่ไม่เจอซักที ก็เลยตั้งกันเองว่า เด็กชายอริยะ หมายความว่า ผู้ประเสริฐ อยากให้มีชื่อคล้องกับคุณแม่ เพราะแม่ชื่ออลิดา แล้วก็มีชื่อกลางว่า แอรอน เพราะว่าด้าเขาเกิดและโตที่อเมริกา ส่วนชื่อเล่นว่าน้องแอล ก็มีความหมายว่า ผู้ประเสริฐ คือทั้ง 3 ชื่อความหมายเดียวกันหมดแล้วอักษรAL ก็เหมือนกับอักษรแรกของชื่อแม่เหมือนกัน คืออยากให้เขาได้จากแม่เยอะ ๆ ส่วนพ่อไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงก็ใช้นามสกุลพ่ออยู่แล้ว

 ความรู้สึกที่ไม่เคยมาก่อน

         แวบแรกที่เห็นหน้าน้องคิดว่าเหมือนด้า 100% ไม่มีอะไรเหมือนผมเลย มีแค่อวัยวะเพศชายเท่านั้นที่เหมือนผม พอกลับมาบ้านก็ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะเลี้ยงเอง ตอนแรกก็มีคุณแม่ของด้ามาช่วย แต่ผมเป็นคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วอดนอนไป 5 วัน คือต้องตื่นทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้นม แล้วผมเป็นคนอุ้มลูกให้นม เปลี่ยนแพมเพิร์ส พอถึงเวลาต้องหลับ ผมก็ตาค้างไปแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าคืนนึงหลับประมาณชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ผมก็ป่วยไปเลย ต้องใส่หน้ากากไปนอนอีกห้องนึง เข้าใกล้ลูกไม่ได้ ก็เศร้ามากตอนนั้น ด้าเองก็มีอาการฮอร์โมนเปลี่ยนก็เป็นโรคหงุดหงิดง่าย ร้องไห้ง่าย ก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่

         ก็รู้สึกว่าต้องยอมรับความจริงว่าเราแก่แล้ว ถ้าเป็นช่วงวัยรุ่นยังอดหลับอดนอนได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะป่วยอีก ตอนหลังก็เลยจ้างพี่เลี้ยงมาช่วย เราก็ได้เรียนรู้จากเขาเยอะ เพราะตอนแรกเราทำอะไรก็ไม่ถูก จับลูกเรอก็ไม่เรอ เวลาลูกเรอนะ โห! ดีใจมากเลยครับ คือหาวิธีตั้งนานกว่าลูกจะเรอ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะ ก็โชคดีที่ได้พี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์

 ทำความรู้จักน้องแอล

         คือเราไม่รู้ว่าเด็กเลี้ยงง่ายเลี้ยงยากเป็นยังไง หลายคนก็บอกว่าอย่างนี้เรียกว่าเลี้ยงง่ายนะ แต่เราก็คิดว่าไม่ง่ายหรอก บางทีก็หลับยาวตื่นมาก็ไม่งอแง เราก็ไม่เข้าใจว่าที่ลูกร้องเป็นเพราะอะไร บางทีร้องแล้วได้เรอก็หาย บางครั้งพอได้กินนมก็หาย เราก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ เพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่าร้องเพราะไม่อยากนอนก็มี ก็เป็นการเรียนรู้อีกอย่างนึงครับ

         ผมไม่อยากตามใจลูกมาก อยากให้เขามีตารางเวลา เวลานอนต้องนอน เวลาเล่นก็เล่นได้ ผมอยากได้ลูกเป็นคนที่มีระเบียบแบบแผนไม่ใช่ตามใจ แต่จะดุแบบมีเหตุผล ก็จะเลี้ยงผสมแบบไทยกับฝรั่ง คงไม่ใช่ว่าปล่อยซะจนไม่รู้เรื่อง หรือว่าจนเหลิง

         อนาคตก็จะให้ลูกเลือกเอง ไม่อยากให้เขาเป็นนักดนตรีนะ อยากให้เลือกในสิ่งที่เขารัก แล้วในแง่ของการที่เราเป็นศิลปิน ผมก็ไม่ได้คิดว่าเราประสบความความสำเร็จมากนัก แต่ก็คิดว่าเราประสบความสำเร็จแล้วล่ะ พอดูตัวอย่างจากศิลปินที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ เนี่ย พอมารุ่นหลัง จะให้ประสบความสำเร็จเหมือนรุ่นพ่อเนี่ย มันมีอะไรบางอย่างค้ำคอ แต่ถ้าเขาอยากเป็นแล้วตั้งใจ เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ครับ

ก้อ P.O.P น้องแอล อริยะ ศรีจอมขวัญ

 ลูกคนแรก...เหนื่อยแทบขาดใจ

         เวลานอนก็จะให้ลูกอยู่กับแม่แล้วก็พี่เลี้ยง ผมกับด้าก็เลยต้องแยกห้องนอนกันสักพัก จนกว่าลูกจะเริ่มนอนยาวได้ ตอนนี้ก็เริ่มนอนได้ซัก 4 ชั่วโมงแล้ว แต่เราก็คิดไว้ว่าจะเทรนด์ให้เขานอนด้วยตัวเอง ซักประมาณ 5 เดือนจะแยกห้อง จะพยายามทำให้ได้ครับ

         ทีแรกอยากมีลูกซัก 2 คน คืออยากมีผู้ชายคนผู้หญิงคน แต่หลังจากมีคนนี้แล้วก็ยอมรับตามตรงเลยว่าสังขารมันไม่ได้ ยอมรับเลยว่าเราอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ผมว่าอายุมันมีส่วนเยอะนะ เราต้องรู้ตัวว่าถ้าเรามีปัญญาเลี้ยงได้ 2 คน เราก็จะมี แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าคนนึงกำลังพอดีแต่ถ้า 2 คนไม่รู้ว่าเราจะให้เขาได้เต็มที่หรือเปล่า ไม่ได้อยากทำตามใจตัวเอง คือผมมีความรู้สึกว่าอยากมีเวลาให้ลูกเต็มร้อย ไม่ใช่ว่าเรามีเวลาอยู่กับเขาแค่ชั่วโมงเดียว ผมไม่อยากเลี้ยงลูกแบบนั้น ผมยังให้เวลาตัวเองในการเปลี่ยนใจได้ เพราะก่อนหน้านี้เราก็คิดว่า จะมี 2 คน ตอนนี้ก็เหลือแค่คนเดียว

 วันนี้กับชีวิตที่เปลี่ยนไป

         เปลี่ยนมาก ๆ เปลี่ยนสุด ๆ เลยครับ ชีวิตไลฟ์สไตล์ของผมต้องเปลี่ยนไปเยอะ ก่อนนี้เราทำงานได้เต็มร้อย พักผ่อนแล้วก็นอน เดี๋ยวนี้คือต้องมีการวางแผนเลยว่าอยากอยู่กับลูก ตอนเช้าต้องอุ้มเค้าก่อนซักชั่วโมงนึง แล้วค่อยไปทำงาน ตอนเย็นก็อย่างน้อยต้องพาขึ้นนอนซักทุ่มนึงแล้วก็อยู่กับลูกอย่างน้อยซัก 2 ทุ่ม อันนี้ก็เป็นตารางที่ผมตั้งใจไว้ แล้วถ้าได้มากกว่านี้ผมก็โอเค. ผมก็จะพยายามทำงานที่บ้านอยู่แล้ว ยกเว้นวันที่ต้องออกจากบ้าน เดี๋ยวนี้ก็คิดถึงลูก ก็อยากจะกลับมาบ้านเร็ว ๆ แต่ก่อนมีคอนเสิร์ตกลางคืน เดี่ยวนี้ก็ไม่อยากรับแล้ว ก็พยายามรับให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นครับ

         มันเป็นความสุอีกแบบนึงครับ แบบที่เราไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในขณะเดียวกันก็เป็นความเหนื่อยแบบที่เราไม่เคยเหนื่อยมาก่อนด้วย คือมันเป็นสิ่งที่ผสมกัน ชีวิตส่วนตัวเราก็หายไปเยอะ มันมีอะไรอย่างอื่นมาทดแทนมันเหมือนกับประตูของโอกาสที่เราจะได้มีชีวิตส่วนตัวมันเปิดไปแล้ว แต่อีกประตูมันก็เปิด มันเป็นแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันก็โอเค. มันก็เหนื่อยนะไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อย

รู้จักก้อ P.O.P นักดนตรีคุณภาพ

          คุณพ่อมือใหม่ : ณฐพล ศรีจอมขวัญ (ก้อ)

          หวานใจ : อลิดา ศรีจอมขวัญ (ด้า)

          ลูกชาย : อริยะ แอรอน ศรีจอมขวัญ (น้องแอล)

          แต่งงาน : 11 / 11 / 2006 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล

          ฮันนีมูนหวาน : กระบี่

          ผลงาน : วง P.O.P และวง Groove Riders

          อัลบั้มเดี่ยว : The Workings Of The Soul Part 01 และ The Workings Of The Soul Part 02