ชาลี อินทรวิจิตร/อาจินต์ ปัญจพรรค์

ชื่อเกิด ชาลี อินทรวิจิตร

เกิด 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 (89 ปี)

จังหวัดสมุทรสาคร

คู่สมรส ศรินทิพย์ ศิริวรรณ

ศิลปินแห่งชาติ

พ.ศ. 2536 - สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์ ดนตรี-ประพันธ์คำร้อง)

รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี

เพลงประกอบยอดเยี่ยม

พ.ศ. 2507 - ลูกทาส

นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม

พ.ศ. 2527 - คาดเชือก

ชาลี อินทรวิจิตร เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้ประพันธ์คำร้อง-ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปีพุทธศักราช 2536 มีผลงานประพันธ์คำร้องเพลงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สดุดีมหาราชา, แสนแสบ, ท่าฉลอม, สาวนครชัยศรี, ทุ่งรวงทอง, มนต์รักดอกคำใต้, แม่กลอง, เรือนแพ, จำเลยรัก ฯลฯ

เดิมชื่อ สง่า อินทรวิจิตร เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ที่จังหวัดสมุทรสาคร จบการศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟรุ่นแรก มีผลงานประพันธ์คำร้องเพลงเกือบ 1,000 เพลง มีผลงานการแสดง เช่น สวรรค์มืด (2501) ,จอมใจเวียงฟ้า (2505) ,ไอ้ฝาง ร.ฟ.ท.(2525) และกำกับภาพยนตร์อีกจำนวนมาก เช่น ปราสาททราย (2512) ,กิ่งแก้ว (2513) และ สื่อกามเทพ (2514) เป็นต้น

สมรสกับนักแสดงหญิง ศรินทิพย์ ศิริวรรณ แต่หายไประหว่างการถ่ายทำเรื่อง อีจู้กู้ปู่ป้า ของ กำธร ทัพคัลไลย เมื่อ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบันยังไม่พบตัว ภายหลังเหตุการณ์นั้น ชาลี ได้แต่งเพลงเพื่อระลึกถึง โดยใช้ทำนองเพลง Aubrey ของเดวิด เกตส์แห่งวงเบรด (Bread) ใช้ชื่อเพลงว่า เมื่อเธอจากฉันไป ขับร้องโดย พรพิมล ธรรมสาร ต่อมานำมาขับร้องใหม่โดย อรวี สัจจานนท์

 

อาจินต์ ปัญจพรรค์

เกิด: 11 ตุลาคม พ.ศ. 2470 (85 ปี)

อาชีพ: นักเขียน

บิดา: ขุนปัญจพรรคพิบูล

มารดา: กระแส ปัญจพรรค์ (โกมารทัต)

คู่สมรส: แน่งน้อย (พงษ์สามารถ) ปัญจพรรค์

อาจินต์ ปัญจพรรค์ เกิดเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2470 ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรชายของขุนปัญจพรรค์พิบูล อดีตนายอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และข้าหลวงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดนครปฐม (มาติณ ถีนิติ) กับนางกระแส ปัญจพรรค์ (โกมารทัต) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา คือ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ พล.ต.ท.ลัดดา ปัญจพรรค์ และวัฒนา ปัญจพรรค์ 

เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย แล้วมาต่อมัธยมที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ปากคลองตลาด โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและเข้าเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงเวลาตอนที่อาจินต์กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สองนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยงดการเรียนการสอน นิสิตต่างพากันกลับบ้านเกิดเพื่อหนีการทิ้งระเบิดเพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญในกรุงเทพ เมื่อภาวะสงครามสงบอาจินต์กลับมาเรียนอีกครั้ง แต่การใช้ชีวิตในช่วงหลบหนีนั้นกลับทำให้อาจินต์ไม่สามารถเรียนได้ดีจึงถูกรีไทร์ บิดาจึงส่งไปทำงานหนักในเหมืองแร่เพื่อดัดนิสัยที่จังหวัดพังงา อาจินต์ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวมาเขียนในเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่

เป็นคนรักการอ่านหนังสือ และสนใจข่าวสารจากสื่อต่างๆ จนทำให้เกิดความสนใจในงานประพันธ์ เมื่อเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 ได้เขียนเล่าเรื่องโรงโขนหลวงที่ พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม ส่งไปลงหนังสือ “สุวัณณภูมิ” ช่วงหลังสงครามเริ่มเขียนเรื่องงานง่ายๆลงในหนังสือ “ฉุยฉาย” รายสัปดาห์ และ “ชวนชื่น” รายสัปดาห์

พ.ศ. 2489 ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดคำขวัญสันติภาพจากองค์การสหประชาชาติด้วยข้อความว่า “สงครามคือบาป สันติภาพคือบุญ” ได้เงินมา 500 บาท

พ.ศ. 2490 ทำงานที่กระทรวงมหาดไทย ในหน่วยเฉพาะกิจสำรวจสำมะโนประชากร แต่ทำได้ไม่นานก็ลาออกไปเรียนกฎหมายต่อแต่ไม่ได้จริงจัง ต่อมาได้ไปทำงานที่เหมืองแร่ที่จังหวัดพังงา ช่วงที่เดินทางไปจังหวัดพังงา ได้เขียนเรื่องสั้น “ในทะเลมีเศรษฐศาสตร์” เมื่อมาถึงจังหวัดพังงาได้เขียนสารคดีชื่อ “จดหมายจากเมืองใต้” ในนามปากกา “จินตเทพ” ลงในหนังสือ “โฆษณาสาร” รายเดือน

เริ่มทำงานที่เหมืองเรือขุดแร่ดีบุก “กัมมุนติง” (Kammunting Tin Dredging) ในตำแหน่งเด็กฝึกงานทำงานตีเหล็กได้ค่าจ้างวันละ 6 บาท พร้อมกับเขียนเรื่องสั้น “สีชมพูยังไม่จาง” ส่งให้น้องสาว วัฒนา ปัญจพรรค์ (ซึ่งกำลังเรียนที่เภสัชกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) นำลงหนังสือ “มหาวิทยาลัย” 23 ตุลาคม พ.ศ. 2492 แต่ทำงานได้ไม่ถึงเดือน มีอาการไอเป็นเลือด เกิดจากการทำงานหนักจนเกินไปจนเส้นเลือดฝอยแตก

พ.ศ. 2492 ทำงานที่เหมืองใหม่ที่เหมืองกระโสม (Krasom Tin Dredging) เขียนแบบประจำเหมือง เงินเดือน 500 ต่อเดือน ได้เป็นช่างทำแผนที่ เงินเดือน 800 บาท

พ.ศ. 2494 ระหว่างทำงานที่เหมืองนั้น ชอุ่ม ปัญจพรรค์ พี่สาวเจอนิยายของน้องชายที่ห้อง จึงได้นำไปให้ศักดิ์เกษม หุตาคม เจ้าของนามปากกา “อิงอร” ช่วยพิจารณาและได้เปลี่ยนชื่อใหม่ “เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก” ส่งไปให้ประหยัด ศ.นาคะนาท สงใน “พิมพ์ไทย” วันจันทร์ มีผู้สนใจมาก จึงได้ส่งอีกเรื่อง “ผู้กล้าหาญ” แต่ได้รับการตอบรับไม่ดี

พ.ศ. 2496 เหมืองแร่เลิกกิจการ จึงเดินทางกลับมาที่กรุงเทพฯ และเขียนนวนิยายอย่างจริงจัง เรื่อง “บ้านแร่” หลายตอนจบลงใน “โฆษณาสาร” กับแปล เรื่องเฮนรี่ เจ.ไกเซอร์ และค่ายโคบาล ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ลงพิมพ์ใน “สตรีสาร” เป็นกลอนแต่ไม่ค่อยได้ค่าเรื่อง รวมทั้งเรื่อง “ในเหมืองแร่มีนิยาย” 4 ตอนจบในนิตยสาร “จ.ส.ช.”

พ.ศ. 2497 เรื่องสั้น “สัญญาต่อหน้าเหล้า” ในนามปากกา “จินตเทพ” ใน “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” ฉบับปฐมฤกษ์ ประหยัด ศ.นาคะนาท เป็นบรรณาธิการ ทำให้มีโอกาสเขียนเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ในนิตยสาร “ชาวกรุง”

พ.ศ. 2498 ทำงานที่ไทยทีวิช่อง 4 บางขุนพรหม จอมพลป.พิบูลสงคราม เปิดสถานีในวันชาติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 โดยมีหน้าที่เขียนบทโทรทัศน์ ประจำสถานี ได้เงินเดือนเริ่มต้น 800 บาท

พ.ศ. 2499 บรรณาธิการ นิตยสาร “ไทยโทรทัศน์” รายเดือน ของไทยทีวีช่อง 4

พ.ศ. 2502 ได้รับเลือกให้ไปดูงานโทรทัศน์และชาวอเมริกัน ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 4 เดือน

พ.ศ. 2508 ตั้งสำนักพิมพ์เพื่อพิมพ์เรื่องสั้นของตนเอง โดยเริ่งระบบเขียนเอง – พิมพ์เอง – ขายเอง ในราคาเล่มละ 5 บาท และเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า โอเลี้ยง 5 แก้ว ขณะที่รวมเรื่องสั้นชุดแรก “ตะลุยเหมืองแร่” ได้รับเลือกให้ไปประชุมนักเขียนเรื่องสั้น “แอฟโฟร – อาเซียน” ทีสหภาพโซเวียต 1 เดือน เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ปรากฏว่ารวมเรื่องสั้นชุดแรกได้จำหน่ายหมดแล้วจึงได้พิมพ์ “ธุรกิจบนเขาอ่อน” และเรื่องเกี่ยวกับเหมืองแร่ก็ยังคงทยอยออกมาเป็นระยะ คือ “เหมืองน้ำหมึก” “เสียงเรียกจากเหมืองแร่” และ “สวัสดีเหมืองแร่” ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังตั้งคณะละครโทรทัศน์ของตัวเอง

พ.ศ. 2511 ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าแผนกแผนผังรายการและหัวหน้าแผนกบริการธุรกิจเงินเดือน 2,800 บาท และตำแหน่งบรรณาธิการ “ไทยโทรทัศน์” อีกเดือนละ 800 บาท

พ.ศ. 2512 ร่วมหุ้นตั้งโรงพิมพ์อักษรไทย และทำนิตยสาร “ฟ้าเมืองไทย” รายสัปดาห์ ออกฉบับปฐมฤกษ์ วันจักรี 6 เมษายน พ.ศ. 2512 ในราคาเล่มละ 3 บาท เป็นที่นิยมมาก จึงได้คิดหนังสือเล่มใหม่ โดยสุพล เตชะธาดา แห่งสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเป็นผู้ลงทุน เกิด “ฟ้าเมืองทอง” รายเดือนเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 ประสบผลสำเร็จ จึงออก “ฟ้านารี” รายเดือนให้สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นอีกฉบับหนึ่ง มีคุณศรีเฉลิม สุขประยูรเป็นบรรณาธิการอยู่ได้ไม่นานก็เลิก ภายหลังทำ “ฟ้าอาชีพ” รายเดือนอีกระยะหนึ่ง ก็หยุดทำ ” ฟ้าเมืองทอง” ส่วน “ฟ้าเมืองไทย” มาสิ้นสุดตอน ตุลาคม พ.ศ. 2531 ผู้อ่านแสดงความรู้สึงเสียดาย จึงได้ตัดสินใจทำนิตยสาร “ฟ้า” รายเดือนอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2532 แต่ทำต่อมาได้ 3 ปีก็ยุติลงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 ตลอดเวลาได้สร้างนักเขียนใหม่ที่โด่งดังในระยะต่อมาเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังสนใจในเรื่องการแต่งเพลงเป็นงานอดิเรก เพลงที่ได้รับการนิยม เช่น เพลงประกอบละคร “สวัสดีบางกอก” และ “อย่าเกลียดบางกอก” ,เนื้อเพลง มาร์ชลูกหนี้ และ เพลง อาณาจักรผีๆ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน และ แม่นาคพระนคร ตามลำดับ รวมทั้งเพลงไทยสากล “จดหมายรักจากเมียเช่า” เนื้อเพลงในชุด “ปริญญาชาวนา” ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ เป็นต้น